เทศน์เช้า วันที่ ๑๕ มิถุนายน ๒๕๔๖
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดสันติธรรมาราม ต.คลองตาคต อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
เราเกิดในร่มธงของพระพุทธศาสนา เพราะมีศาสนา เราถึงได้มีการสละทานกัน เราสละทานกันมาเพราะอะไร เพราะพ่อแม่ปู่ย่าตายายของเราฝึกเราไว้ไง สอนเราไว้ เราถึงทำตามกันมา ถ้าพ่อแม่ปู่ย่าตายายเราไม่ได้สอนกันไว้ เราก็ต้องไปศึกษาใหม่ เราก็ไม่เข้าใจ เห็นไหม ประเพณีวัฒนธรรมส่งต่อมาจากปู่ย่าตายายมาถึงลูกหลาน ลูกหลานก็ต้องส่งต่อไปให้เด็กๆ ฝึกไว้ให้เป็นไง การสละทาน การสละออกการออกจากใจ มันเกิดจากเจตนา
เจตนาความคิด เจตนาความจงใจ เห็นไหม เราเจตนาจะไปทำคุณงามความดี อันนี้เป็นบุญกุศล เจตนาจะไปทำความชั่ว เจตนาเราเป้าหมายเราคาดหมายไว้ อันนั้นเป็นอกุศล สิ่งที่เป็นอกุศลเกิดขึ้นจากใจแล้วสิ่งนั้นเป็นความเศร้าหมอง สิ่งที่เป็นกุศล เห็นไหม เจตนาความมุ่งหมายทำคุณงามความดี เรามีเจตนาขึ้นมา นี่เราจะสละทาน พรุ่งนี้เราจะทำบุญกุศล มันคิดไว้ตั้งแต่วันนี้ เห็นไหม แล้วได้ทำได้ประกอบอาหารขึ้นมา ใจมันคิดแต่บุญกุศลจะได้ทำกุศลๆ มันเป็นบุญเกิดขึ้นมาจากใจ เกิดขึ้นมาจากใจ ใต้ร่มโพธิ์พระพุทธศาสนา พระพุทธศาสนาสอนเรื่องของใจ
แต่เรื่องของใจเป็นความลึกลับ ถึงต้องมีทาน มีศีล มีภาวนาเพื่อจะให้เราฝึกฝนไง เราฝึกฝน เห็นไหม เวลาเราสละทานขึ้นมา เราทำบุญกุศลเราสร้างบุญกุศลขึ้นไป มันเป็นการเสริมบารมีนะ เรามีบารมีเพราะเราเป็นผู้ให้ ผู้ให้เป็นผู้ที่ให้ความสุขเขา มันจะเกิดคุณงามความดีกับเราขึ้นมา ใจที่สะสมคุณงามความดีขึ้นมา เป็นชั้นเป็นตอนขึ้นมา มันก็เริ่มอ่อน เห็นไหม เขาจะปั้นโอ่งปั้นไห ดินนี้เขาต้องนวดก่อน ให้ดินนี้สมควรแก่การปั้นโอ่งปั้นไห ใจของเรามันเคยนวด เคยฝึกฝนใจของเราไหม ใจของเรากระด้าง ใจของเราเป็นไปประสาเรานะ
จนในครั้งพุทธกาล ก็มีพระพุทธเจ้าไปบิณฑบาต บอกว่า ให้พระไถนาสิ ให้พระหากินเองสิ พระก็เป็นคนเหมือนกัน ทำไมต้องมาขอเขากิน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่า เราก็ไถอยู่ ใช้ปัญญาเป็นผาลเป็นไถ ใช้สติเป็นเชือก ใช้ปัญญาใช้ความเห็นของตัวเองนี่ ผาลไถ ไถชำระกิเลสออกไปจากหัวใจ พูดให้พราหมณ์ได้ยินพราหมณ์มีความศรัทธามาก เพราะงานของคนไม่เหมือนกัน งานของผู้บริหาร เห็นไหม บริหารนี่สั่งนโยบายออกไป ผู้ที่เป็นเบื้องล่างทำหมุนตัวเป็นเกลียวเลยน่ะ เพราะใช้แรงงาน แรงงานของคนหน้าที่ของคนไม่เหมือนกัน
หัวใจก็เหมือนกัน เรื่องการสละทานการลสะออกไป มันเป็นความหยาบๆ แต่คนไม่ฝึกมันก็ทำไม่ได้ ถ้าคนไม่ฝึกฝน คนไม่ฝึกฝนเลย คนไม่มีความเจตนา ไม่เคยทำเลยมันเป็นไม่ได้ แล้วจะไปเห็นใจได้อย่างไร ว่ากายกับใจมันเป็นส่วนอาศัยอยู่ด้วยกัน จับไปตรงไหนก็เป็นเราไปทั้งหมด เห็นไหม จับไปที่ขาก็เป็นเรา จับไปที่แขนก็เป็นเรา เพราะจิตนี้มันฟุ้งซ่าน มันแผ่ซ่านรับผิดชอบไปกันหมด มันรับผิดชอบตัวเรานะ รับผิดชอบร่างกายเราแล้วยังรับผิดชอบไปข้างนอก เห็นไหม มันยึดสิ่งข้างนอก เกาะเกี่ยวกับสิ่งข้างนอก เกาะเกี่ยวกับสิ่งต่างๆ ยึดแล้วเวลายึดหมาย เห็นไหม เป็นสมุทัย เป็นตัณหาความทะยานอยาก มันจะเป็นของเราไม่เป็นของเรามันเป็นส่วนหนึ่ง ถ้าเรามีอำนาจวาสนาเราทำบุญกุศลของเราไว้ เราต้องได้ส่วนนั้น
เราประกอบคุณงามความดี คุณงามความดีต้องเป็นของเรา โอกาสของเรา ถ้าเราไม่มี เราไม่สร้างบุญกุศลไว้ ทำขนาดไหนมันก็เป็นว่าทุกข์ยากไปอย่างนั้น มันทุกข์ยากไป แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็สอนให้ทำความเพียรไง ให้มีความเพียร ให้มีความวิริยะอุสาหะ คนเราจะสำเร็จการงานได้ด้วยความเพียรของเรา ด้วยความมุ่งหมายของเรา เราพยายามตั้งใจของเรา มันต้องสมประโยชน์กับเราสักวันหนึ่ง แต่มันก็อาศัยกรรมไง
ถ้ากรรมน่ะคุณงามความดีที่เราสะสมมา มันจะเป็นโอกาสของเรา ถ้ากรรมเราสร้างบาปอกุศลขึ้นมาด้วยหนึ่ง เห็นไหม คนเราผิดพลาดไปจะต้องโดนแกล้งโดนทำลายไป คนที่ติดในคุกน่ะคนที่ไม่ได้ทำความผิดก็มี แต่เหตุการณ์หลักฐานมันเป็นแบบนั้น คนที่อยู่ในคุกน่ะเขามีกรรมของเขาเขาเป็นอย่างนั้น เขาโดนกลั่นแกล้งก็มี คนที่ทำความผิดแล้วที่ว่ากฎหมายตามไม่ทันก็มี ทำความผิดแล้วลอยนวลก็มี กรรมการกระทำมันมีมาแต่เบื้องหน้าเบื้องหลัง แล้วก็มีต่อไปข้างหน้า
การกระทำของเรา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงได้บอกไว้ยังไงว่า สิ่งใดที่ทำแล้วเสียใจภายหลัง สิ่งนั้นไม่ดีเลย แต่เราไม่มีสติ เราไม่มีการยับยั้งชั่งใจของเรา เรามีความต้องการของเรา ในความคิดของเราเราก็ทำอย่างนั้นออกไป อาหารของใจเป็นแบบนั้น
อาหารของกาย โยมให้ทานมาเป็นอาหารของกาย หล่อเลี้ยงธาตุขันธ์ไว้ให้พยายามประพฤติปฏิบัติ ให้เข้าใจเรื่องของใจ ถ้าเข้าใจเรื่องของใจ มันจะปล่อยวาง ปล่อยวางเรื่องเงาของมัน พวกเราตื่นเงากันหมดเลย ตื่นความคิด ความคิดนี้เป็นเงา เงาที่เกิดขึ้นกับใจไม่ใช่ใจเกิดดับเกิดดับ ถ้าความคิดนี้เป็นของเรานะ เวลาเราทุกข์ยากขึ้นมาน่ะ ความคิดมันอยู่กับเราตลอดไป มันต้องทำให้เราทุกข์ยากจนเราจะทรงร่างกายธาตุขันธ์ของเราเอาไว้ไม่ได้หรอก แต่มันก็ดับไป เห็นไหม
สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีการเกิดขึ้นเป็นธรรมดา มันเป็นธรรมชาติของมันเกิดดับสภาวะแบบนั้น แต่เกิดดับแบบสิ่งที่มีชีวิต การเกิดดับแบบพืชผลต้นไม้ เห็นไหม ต้นไม้มันเกิดขึ้นมากว่ามันจะเจริญงอกงามขึ้นมา ฤดูกาลหนึ่งก็ออกดอกออกผลหนหนึ่ง ปีละหนเหมือนกัน แต่ความคิดของเราเกิดดับตลอดเวลา วันหนึ่งร้อยหนพันหน ร้อยครั้งพันครั้ง เกิดขึ้นมาตลอดเวลา แล้วควบคุมไม่ได้ พอควบคุมไม่ได้นี่เงาของมันออกไป
ถ้ามีศีล เห็นไหม ศีลเริ่มจากว่าเป็นความปกติของใจ ศีลเห็นไหม มโนกรรมไง ศีลเราคิดว่าขอศีล ๕ มีแต่ปาณาติปาตาขอศีล ๕ แล้วเราไม่ทำตามนั้น เรามีศีล อันนั้นเป็นศีลหยาบๆ เห็นไหม ศีลของเราอธิศีล ศีลอธิจิต จิตนี้เป็นความคิดเลยน่ะ เวลามันแยบออกมาคิดผิดออกไปเป็นมโนกรรมเกิดขึ้น ศีลควบคุมได้ขนาดนั้น เห็นไหม จิตมันจะเริ่มเป็นทรงตัวของมันขึ้นมา จะพอใจของมันขึ้นมา สิ่งที่มันพอขึ้นมาจะเกิดสมาธิได้ง่าย สิ่งนี้เกิดสมาธิได้ง่ายขึ้นมา เราจะเห็นใจของเรา อ๋อ ใจเป็นแบบนี้เอง ใจมีความสุขอย่างนี้เอง ใจมันปล่อยวางร่างกายออกมา แล้วมันเป็นอิสระของมันอย่างนี้เอง มันจะเห็นใจไงใจเป็นแบบนี้ ใจคือสัมมาสมาธิ เอกัคคตารมณ์จิตนี้เป็นหนึ่งเดียว ไม่ตื่นในเงา เงาที่ทำให้ความคิดมันจะปล่อยวางความคิดทั้งหมดเป็นอิสระของมันขึ้นมา ฝึกฝนอย่างนี้บ่อยครั้งเข้าๆ จนเราทำได้
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ ไปเรียนอาฬารดาบส มีอยู่แล้ว สมาธิในสมัยพุทธกาลมีอยู่แล้ว สมัยก่อนคนเราพยายามหาทางออกนะ จิตนี้พร้อมที่จะหาทางออก แต่ไม่มีปัญญาไง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสร้างบุญกุศลไว้มาก เป็นพระโพธิสัตว์ สร้างสมไว้มหาศาล เกิดได้องค์เดียว คนที่จะรื้อสัตว์ขนสัตว์ได้ เกิดได้องค์เดียว หนึ่งเดียวเท่านั้น ในครั้งหนึ่งพระพุทธเจ้าเกิดไม่เกิดซ้อนกัน
แต่สาวกะสาวกนี้เกิดได้เป็นพันเป็นแสนขนได้หมด องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าขนออกไป พวกเราเป็นสาวกะ แต่สาวกะไม่มีความสามารถจะรู้ได้เอง เห็นไหม มันถึงต้องเป็นการขวนขวายเอง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าขวนขวายเอง พิจารณาสิ่งนี้เอง ค้นคว้าเอง ค้นคว้าด้วยปัญญาไง ปัญญาญาณอันนี้มันเข้าใจ เข้าใจก็เลาะๆ ออกได้ ถ้าไม่มีปัญญาอันนี้เลาะสิ่งนี้ออกไม่ได้ ถ้าเลาะสิ่งนี้ออกไม่ได้ มันก็เป็นหินทับหญ้าไว้ ถ้าหินทับหญ้าไว้ไม่สามารถชำระกิเลสได้
อาฬารดาบสในลัทธิต่างๆ สมัยพุทธกาล ปฏิญาณตนว่าเป็นพระอรหันต์นะ นี่เข้าใจ เจ้าชายสิทธัตถะไปเรียนกับเขา จนเขาพยากรณ์ว่ามีความรู้เท่าเขา เท่าอาฬารดาบส อุทกดาบส สั่งสอนได้แล้วให้อยู่กับเราเพื่อจะเป็นครูอาจารย์สั่งสอนเขาเถิด แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีความระลึกตัวตนอยู่ มันเป็นความทุกข์ เวลามันฟุ้งซ่านขึ้นมามันก็มีความฟุ้งซ่านของหัวใจ เวลามันเสื่อมออกไป ใจมันเสื่อมออกไปจากสมาธิ มันมีความทุกข์ของมันขึ้นมา มันรู้อยู่กับใจ คนเราต้องการความจริง ต้องการถอนกิเลสออกจากใจ ต้องการความจริงถึงซื่อสัตว์กับตนเองไง รื้อค้นสิ่งนี้ แยกแยะสิ่งนี้ อันนี้คือปัญญา ปัญญาอย่างนี้ไม่เกิดกับเรา
ปัญญาที่เราเรียนกันอยู่นี้มันเป็นสุตมยปัญญา จินตมยปัญญา เห็นไหม นักวิทยาศาสตร์จินตมยปัญญา วิทยาศาสตร์คิดค้นขนาดไหน เขาตรึกตลอดเวลา เขาคิดออกไป แต่คิดเรื่องของโลก เรื่องของโลกียะ แต่ปัญญาคิดค้นในเรื่องของโลกุตระนี้มันไม่มี เพราะมันจะมีได้มันต้องจิตสงบก่อน ฟังซิ ความคิดของโลกเป็นความคิดของเงา เงาสิ่งที่เกิดกับใจ เห็นไหม ความคิดของขันธ์ ๕ มันเป็นเงาของใจ ความคิดอย่างนี้มันคิดออกไป แล้วมันปล่อยวางสิ่งนี้เข้ามา จิตมันสงบเข้ามา แล้วความคิดใหม่เกิดขึ้น เกิดขึ้นกับสัมมาสมาธิ อันนี้เป็นโลกุตระ อันนี้จะเป็นการรื้อถอนใจ รื้อถอนกิเลสได้ กิเลสมันอยู่ที่ใจ เห็นไหม
เวลาเราขัดข้องหมองใจ ไม่มีใครสามารถชำระล้างให้เราได้ เราไปหาครูบาอาจารย์เวลาทุกข์ยากน่ะ ปลอบประโลมเราด้วยคำพูดเท่านั้นน่ะ เวลาทุกข์ยาก เห็นไหม เจ็บไข้ได้ป่วยเวลาไปหาหมอ หมอรักษาใคร หมอก็ต้องรักษาเรา เรานี่หัวใจของเรามันจะทุกข์ยากตลอดไป ปัญญาอันนี้มันจะเกิดขึ้นมาจากมีความสงบของใจ ต้องมีสัมมาสมาธิถึงต้องมีทาน ศีล ภาวนา ศีล สมาธิ ปัญญาไง
ต้องมีศีลถึงจะมีสมาธิแล้วมีปัญญา ถ้าศีลไม่มี สัมมาสมาธินี้ควรแก่การงาน มิจฉาสมาธิก็ได้ สมาธิที่เกิดความสงบของใจขึ้นมา เห็นไหม เวลาทำความสงบของใจ แต่ก่อนเป็นมนต์ดำ สิ่งนี้ทำลายโลก ทำลายครอบครัว ทำลายต่างๆ ที่เขาเป็นสิ่งนี้เป็นไสยศาสตร์ นั้นเขาก็ใช้สมาธิเหมือนกัน แต่มันเป็นมิจฉา มันความเห็นของเขา มันไม่ใช่ความจริงของเรา
แต่ของเราในศาสนาพุทธ เห็นไหม ร่มธงของพระพุทธศาสนา ศีล สมาธิ ปัญญา ถ้ามีสมาธิมีศีลขึ้นมาควบคุมใจของเรา ไม่ปาณาติปตา ไม่ลักของเขา เห็นไหม แม้แต่อะทินนาไม่ลักของเขา แล้วหัวใจจะไปทำลายเขาได้อย่างไร หัวใจจะไปทำลายใครไม่ได้เลย เพราะว่าศีลมันปกติมันรักษาอยู่แล้ว แล้วเราฝึกฝนขึ้นมา พอเราเกิดสมาธิขึ้นมา สมาธินี้ก็เป็นสมาธิที่ชอบ สมาธิชอบควรแก่การงาน ควรแก่การงานการยกขึ้นวิปัสสนาไง
ถ้าวิปัสสนาได้นี่โลกุตระธรรม ปัญญาที่มันเกิดขึ้นมาในศาสนาพุทธ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีปัญญาอันนี้ ปัญญาอย่างเรา เห็นไหม จะจบการศึกษาเล่าเรียนขนาดไหนสูงส่งขนาดไหน เป็นวิชาชีพ วิชาชีพที่เราค้นคว้าเป็นสัมมาอาชีวะเลี้ยงชีพชอบ แต่เลี้ยงชีพใจไม่เป็น เลี้ยงชีพชอบก็เอาแต่ความทุกข์มาสะสมใจ ขวนขวายขนหามาขนาดไหนก็มีความทุกข์ร้อนในใจ ใจจะทุกข์ร้อนเศร้าหมองไปตลอดเวลา มีแต่ความว้าเหว่ในหัวใจ
ความคิดมากเรามีปัญญามาก แต่กิเลสพาใช้ กิเลสอยู่หลังความคิดเรา ความคิดออกหน้าไปกิเลสอยู่หลังความคิดเรา เราสงบความคิดนั้นมา เราจะเห็นกิเลส เห็นไหม สงบความคิด สงบขันธ์เข้ามา สิ่งที่สงบขันธ์เข้ามาก็เป็นสัมมาสมาธิ แล้วปัญญามันจะเกิดต้องใคร่ครวญให้เป็นนะ เป็นคือว่าเห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรม สติปัฏฐาน ๔ ควรแก่การงาน กิเลสมันเกิดที่ใจ ใจเกาะเกี่ยวกับตรงนี้เป็นพื้นฐาน สิ่งที่มีพื้นฐานเป็นภวาสวะถึงส่งออกไป ถ้าไม่มีพื้นฐานมันจะเอาอะไรออกไปข้างนอก เห็นไหม เพราะพื้นฐานอันนี้มันเลยส่งออกไปข้างนอก ปัญญาเข้ามาทำลายตรงนี้ ชำระตรงนี้ออกไปจนหมดสิ้น กิเลสอยู่ที่ใจ แล้วชำระกิเลสที่ใจได้สมความปรารถนา
ในร่มธงของพุทธศาสนา เราเกิดในร่มธงของพระพุทธศาสนานะ พระพุทธศาสนาสอนให้เรา มีทาน มีศีล มีภาวนา เราอยู่ในขั้นทานเราก็ทำทานไป ทำทานไปจนกว่าเราจะเคยชิน สิ่งที่ทำบ่อยครั้งเข้าเคยชิน จิตมันเป็นไปโดยธรรมชาติ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางอุบายไว้ให้เราก้าวเดิน พระเช้าชึ้นมาออกบิณฑบาต ฆราวาสเห็นไหมตื่นเช้าขึ้นมาหุงหาอาหารตักบาตรให้พระ ให้พระดำรงชีวิตด้วยสัมมาอาชีวะด้วยปลีแข้ง เราตักบาตรขึ้นไปให้พระได้เป็นนักรบออกประพฤติปฏิบัติ เพื่อจะเอาธรรมคุณงามความจริงมาสอนเรา
พระเจ้าพิมพิสาร องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าออกแสวงหาธรรม ถ้าเจอธรรมแล้วกลับมาสอนด้วย องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนพระเจ้าพิมพิสารจนเป็นพระโสดาบัน
นี้ก็เหมือนกัน เราหวังจะพึ่งพระ ให้พระประพฤติปฏิบัติเพื่อจะเอาธรรมมาสอนเรา เราพยายามตักบาตร เห็นไหม ศาสนาพระพุทธเจ้าฝากไว้ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา เป็นบริษัท ๔ เจ้าของศาสนา เราให้ทานไปก็เพื่อดำรงว่าจะได้ฟังธรรม ได้ฟังธรรมจากพระที่ประพฤติปฏิบัติแล้วได้ธรรมมาสั่งสอนเรามันก็ยกกันขึ้น
บริษัท ๔ เจริญ ศาสนาเจริญๆ ตรงนี้ไง ฝากศาสนาเอาไว้กับเรา ถ้าเราไม่สนใจ เราก็เกิดในร่มธงพระพุทธศาสนา แต่ไม่สนใจในศาสนา เราก็ได้ชื่อว่าเราเป็นชาวพุทธเฉยๆ แต่ไม่ใช่พุทธเนื้อหาสาระ พุทธเนื้อหาสาระเราต้องขวนขวาย เราต้องหาใจของเราให้เจอ รักษาใจของเราให้เจอ แล้วจะจบสิ้นกระบวนการของความทุกข์ทั้งหมด เอวัง